นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มราคาน้ำมันช่วงปลายปีนี้ โดยประเมินว่า แนวโน้มมีทิศทางที่จะปรับขึ้นได้ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล ที่มีความต้องการใช้มากในแถบตะวันตก ซึ่งเชื่อว่าราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลก น่าจะอยู่ในระดับ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาในประเทศ ประเมินว่า แม้แนวโน้มราคาจะเพิ่มขึ้น แต่น่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายของกระทรวงพลังงาน ที่จะให้ผู้ค้าปรับมาตรฐานน้ำมันเข้าสู่มาตรฐานยูโรโฟร์ ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้นประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร เบนซิน 1 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปีหน้าขยับขึ้นตามต้นทุน ซึ่งกรณีดังกล่าวขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ที่จะเข้ามารับภาระราคาที่เพิ่มขึ้นจากการปรับมาตรฐานน้ำมัน ให้กับประชาชนหรือไม่
ขณะที่ผลกระทบจากการยกเว้นเก็บเงินกองทุนน้ำมันเบนซิน ต่อยอดขายแก๊สโซฮอล์ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า แม้จะทำให้สถานีบริการของบางจาก ประมาณ 600 แห่ง ที่ไม่มีน้ำมันจำหน่าย ยอดขายลด แต่บางจากยังขอความร่วมมือให้สถานีบริการดังกล่าว จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ต่อไป โดยกำลังรอนโยบายการช่วยเหลือจากภาครัฐ และบางจากอาจเพิ่มค่าการตลาดให้สถานีบริการดังกล่าวเป็นพิเศษ เพื่อช่วยเหลือผู้ค้าปลีก อีกทางหนึ่งด้วย
ส่วนนโยบายคืนเงินภาษีสรรพสามิตรถคันแรก ตามที่รัฐบาลประมาณการไว้ว่า จะมีผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์โครงการดังกล่าวซื้อรถประมาณ 5 แสนคัน มองว่า อาจจะมีเพียงแค่ 2 แสนคัน และไม่น่าจะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเติบโตขึ้นมากนัก แต่เชื่อว่าจะทำให้ยอดขายของ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 เพิ่มขึ้น เพราะรถรุ่นใหม่สามารถใช้ได้ ซึ่งปัจจุบันบางจากมีปั๊มจำหน่าย แก๊สโซฮอล์ อี20 จำนวน 500 ปั๊ม ปีหน้าจะเปิดอีก 200 ปั๊ม รวมเป็น 700 ปั๊ม
โดยปกติ แก๊สโซฮอล์ อี20 มียอดขายที่ 9 ล้านลิตรต่อเดือน คาดว่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มอีกร้อยละ 20 ในปีหน้า ส่วนยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และแก๊สโซฮอล์ 91 จะลดลง ขณะที่ราคาเอทานอลไม่น่าจะดีขึ้น เพราะราคามันสำปะหลัง และโมลาสถูกลง โดยราคาเอทานอลวันนี้อยู่ที่ 23 บาทต่อลิตร และลดลงลิตรละ 1 บาทในไตรมาส 4 ขณะที่ปริมาณการใช้เอทานอลอยู่ที่ 1 แสนลิตรต่อวัน
ที่มา : http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9540000120254
เศรษฐกิจวันนี้
ความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่หลากหลาย
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
ลิเบียอาจกลับมาผลิตน้ำมันดิบสู่ตลาดโลกได้ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์
ลิเบียอาจกลับมาผลิตน้ำมันดิบสู่ตลาดโลกได้ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ หลังจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลกำลังเข้าใกล้ชัยชนะ แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าต้องใช้เวลาอีกถึงกว่าหนึ่งปีก่อนลิเบียจะกลับมาผลิตน้ำมันได้ในระดับการผลิตก่อนเกิดสงคราม ด้านสมาชิกโอเปกยังคงจับตามองสถานการณ์ในลิเบียก่อนตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนกำลังการผลิตหรือไม่
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เมื่อความรุนแรงปะทุขึ้นในลิเบีย ก่อนการเกิดสงครามกลางเมือง ลิเบียมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งน้ำมันจำนวนดังกล่าวออกนอกประเทศเกือบทั้งหมด โดยคิดเป็นประมาณ 2% ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก อย่างไรก็ดี ในช่วง 6 เดือนที่อยู่ภายใต้ภาวะสงคราม กำลังการผลิตน้ำมันในลิเบียลดลงเหลือเพียง 5 หมื่นบาร์เรลต่อวันเท่านั้น
ที่ปรึกษาและผู้บริหารในอุตสาหกรรมน้ำมันเชื่อว่า การล่มสลายของระบอบการปกครองของพ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ที่คงอยู่มาเป็นเวลา 41 ปี อาจส่งผลให้ลิเบียผลิตน้ำมันได้ในอัตรา 3 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วง 3 เดือนข้างหน้าจากบ่อน้ำมันทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายกบฏตั้งแต่เริ่มสงครามกลางเมือง รวมถึงจากบ่อน้ำมันบริเวณทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่การเพิ่มกำลังการผลิตให้กลับสู่ระดับก่อนสงครามจะต้องใช้เวลาเป็นปี
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เมื่อความรุนแรงปะทุขึ้นในลิเบีย ก่อนการเกิดสงครามกลางเมือง ลิเบียมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งน้ำมันจำนวนดังกล่าวออกนอกประเทศเกือบทั้งหมด โดยคิดเป็นประมาณ 2% ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก อย่างไรก็ดี ในช่วง 6 เดือนที่อยู่ภายใต้ภาวะสงคราม กำลังการผลิตน้ำมันในลิเบียลดลงเหลือเพียง 5 หมื่นบาร์เรลต่อวันเท่านั้น
ที่ปรึกษาและผู้บริหารในอุตสาหกรรมน้ำมันเชื่อว่า การล่มสลายของระบอบการปกครองของพ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ที่คงอยู่มาเป็นเวลา 41 ปี อาจส่งผลให้ลิเบียผลิตน้ำมันได้ในอัตรา 3 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วง 3 เดือนข้างหน้าจากบ่อน้ำมันทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายกบฏตั้งแต่เริ่มสงครามกลางเมือง รวมถึงจากบ่อน้ำมันบริเวณทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่การเพิ่มกำลังการผลิตให้กลับสู่ระดับก่อนสงครามจะต้องใช้เวลาเป็นปี
กลยุทธ์เทรด'ทองล่วงหน้า'รับมือทองผันผวนแรง
โบรกฯแนะ 3 กลยุทธ์ลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์ส เตือนวางหลักประกันสูงกว่าเกณฑ์ 20 % ก่อนหยุดยาวลดพอร์ตลง 30 % และขายตัดขาดทุนหากลงทุนผิดทาง ทีเฟค เพิ่มอัตรามาร์จินครั้งที่ 2 เริ่ม 5 กันยายนนี้ หลังราคาทองคำผันผวนแรง
นายวิชัย แสงเจริญตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด แนะนำกลยุทธ์การลงในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงราคาทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์ส)ในภาวะที่ราคาทองคำผันผวนแรงว่า นักลงทุนควรลดสัดส่วนการลงทุนก่อนวันหยุดยาว หรือทุกวันศุกร์ลง 30 % ของเงินลงทุนหรือพอร์ต เนื่องจากในช่วงวันหยุดไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง
นอกจากนี้ควรวางหลักประกันหรือมาร์จิน ในอัตราที่สูงไว้ก่อน หรือเพิ่มขึ้นอีก 20 % จากเกณฑ์ที่บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)หรือทีเฟค กำหนด ก็จะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากหลักประกันที่กำหนดในปัจจุบันทำให้มีความเสี่ยงหากลงทุนผิดทาง โดยหากราคาทองคำปรับตัวลงบาทละ 500-600 บาท ก็จะทำให้ถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม และหากราคาทองคำปรับตัวลงบาทละ 1,500 บาท ก็จะถูกบังคับขาย
(ฟอร์ซเซล)
"ปัจจุบันราคาทองคำผันผวนสูงมาก โดยปรับตัวขึ้นลง วันละ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือ 900 บาทต่อบาททอง จากแต่ก่อนขึ้นลงวันละ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์เท่านั้น " นายวิชัยกล่าว
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด(มหาชน) แนะนำให้เปิดสถานะซื้อ (Long) โกลด์ฟิวเจอร์ส เพื่อขึ้นไปแบ่งทำกำไรที่ 28,500 บาท และมีจุดขายตัดขาดทุน ที่ 25,440 บาทต่อบาททอง ขณะที่คาดว่าระยะยาวราคาทองคำโลกมีโอกาสซิกแซกขึ้นต่อ โดยถ้าสามารถทะลุผ่าน 1,812 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ขึ้นมาได้ อาจปรับขึ้นต่อไปที่ 1,850 และ 1,915 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือสูงกว่านั้นแต่ให้ระวังถ้าหลุด 1,807 หรือ 1,790 ดอลลาร์สหรัฐฯลงมา
ที่มา: http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=81712:2011-08-31-07-23-42&catid=104:-financial-&Itemid=443
นายวิชัย แสงเจริญตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด แนะนำกลยุทธ์การลงในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงราคาทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์ส)ในภาวะที่ราคาทองคำผันผวนแรงว่า นักลงทุนควรลดสัดส่วนการลงทุนก่อนวันหยุดยาว หรือทุกวันศุกร์ลง 30 % ของเงินลงทุนหรือพอร์ต เนื่องจากในช่วงวันหยุดไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง
นอกจากนี้ควรวางหลักประกันหรือมาร์จิน ในอัตราที่สูงไว้ก่อน หรือเพิ่มขึ้นอีก 20 % จากเกณฑ์ที่บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)หรือทีเฟค กำหนด ก็จะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากหลักประกันที่กำหนดในปัจจุบันทำให้มีความเสี่ยงหากลงทุนผิดทาง โดยหากราคาทองคำปรับตัวลงบาทละ 500-600 บาท ก็จะทำให้ถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม และหากราคาทองคำปรับตัวลงบาทละ 1,500 บาท ก็จะถูกบังคับขาย
(ฟอร์ซเซล)
"ปัจจุบันราคาทองคำผันผวนสูงมาก โดยปรับตัวขึ้นลง วันละ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือ 900 บาทต่อบาททอง จากแต่ก่อนขึ้นลงวันละ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์เท่านั้น " นายวิชัยกล่าว
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด(มหาชน) แนะนำให้เปิดสถานะซื้อ (Long) โกลด์ฟิวเจอร์ส เพื่อขึ้นไปแบ่งทำกำไรที่ 28,500 บาท และมีจุดขายตัดขาดทุน ที่ 25,440 บาทต่อบาททอง ขณะที่คาดว่าระยะยาวราคาทองคำโลกมีโอกาสซิกแซกขึ้นต่อ โดยถ้าสามารถทะลุผ่าน 1,812 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ขึ้นมาได้ อาจปรับขึ้นต่อไปที่ 1,850 และ 1,915 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือสูงกว่านั้นแต่ให้ระวังถ้าหลุด 1,807 หรือ 1,790 ดอลลาร์สหรัฐฯลงมา
ที่มา: http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=81712:2011-08-31-07-23-42&catid=104:-financial-&Itemid=443
เบนซ์ถล่มเกรย์ฯลดกระหน่ำ 2 แสนบาท
เมอร์เซเดส -เบนซ์ ประกาศแนวรบเต็มสูบ ประเดิมเปิดตัวรถใหม่ 9 รุ่น พร้อมท้าชนเกรย์มาร์เก็ตด้วยการปรับลดราคารถ 7 รุ่น ตั้งแต่ 1 - 2 แสนบาท -อัดแคมเปญข้อเสนอทางการเงิน ผ่อนเดือนละ 25,900 บาท
ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่ายอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ใน 7 เดือนแรกของปี 2554 มีอัตราการเติบโต 5% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาคือที่ 2,710 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์ C-Class จำนวน 1,023 คันมีอัตราการเติบโตที่ 7% และมีสัดส่วนการตลาด 49% ,ด้าน E-Class จำนวน 1,452 คัน มีอัตราการเติบโตที่ 2% และมีสัดส่วนการตลาด 57% และ S-Class จำนวน 204 คัน มีอัตราการเติบโตที่ 3% และมีสัดส่วนการตลาด 49% และรถยนต์เฉพาะกลุ่มอีก 31 คัน
"เรามั่นใจหลังจากเปิดนโยบายเชิงรุก ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของเมอร์เซเดส - เบนซ์ ประเทศไทย เพราะในช่วงที่ผ่านมาเราก็สามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่วางไว้"
ทีมา:http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=82989:-2-&catid=134:than-auto-&Itemid=452
ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่ายอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ใน 7 เดือนแรกของปี 2554 มีอัตราการเติบโต 5% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาคือที่ 2,710 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์ C-Class จำนวน 1,023 คันมีอัตราการเติบโตที่ 7% และมีสัดส่วนการตลาด 49% ,ด้าน E-Class จำนวน 1,452 คัน มีอัตราการเติบโตที่ 2% และมีสัดส่วนการตลาด 57% และ S-Class จำนวน 204 คัน มีอัตราการเติบโตที่ 3% และมีสัดส่วนการตลาด 49% และรถยนต์เฉพาะกลุ่มอีก 31 คัน
"เรามั่นใจหลังจากเปิดนโยบายเชิงรุก ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของเมอร์เซเดส - เบนซ์ ประเทศไทย เพราะในช่วงที่ผ่านมาเราก็สามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่วางไว้"
ทีมา:http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=82989:-2-&catid=134:than-auto-&Itemid=452
ไทยลุ้นขายข้าวล็อตใหญ่แอฟริกา
พาณิชย์สั่งลุยตลาดแอฟริกาชดเชย 3 ตลาดหลักแนวโน้มหดตัว "กิตติรัตน์"สั่งขยายการค้าควบคู่ลงทุน มั่นใจส่งออกไปแอฟริกา 53 ประเทศภาพรวมปีนี้โต 10% ตามเป้า ปีหน้ายังขยายตัวต่อเนื่อง รอลุ้นข่าวดีสหภาพแอฟริกาประชุมความต้องการซื้อข้าวปี 55 หวังส้มหล่นไทย
นางนันทัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" จากเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลักของไทยทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป(อียู) และญี่ปุ่น มีแนวโน้มหดตัวจากปัญหาหนี้สาธารณะ และภัยพิบัติ ทางกรมมีแผนจะขยายการส่งออกไปยังตลาดที่กำลังมีศักยภาพเพื่อลดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หนึ่งในจำนวนนั้นคือตลาดแอฟริกาซึ่งมี 53 ประเทศ และมีตลาดผู้บริโภครวมกันกว่า 930 ล้านคนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังขยายตัว
สำหรับการส่งออกไปยังตลาดแอฟริกาในปีนี้มั่นใจว่าจะขยายตัวในอัตรา 10% มูลค่า 7,624 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯตามเป้าหมาย โดยการส่งออกไปตลาดแอฟริกาช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่า 4,404.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 21.51% โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 3,009.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
"เป้าหมายการส่งออกไปยังทวีปแอฟริกาในปีหน้าทางผู้บริหารของกรมร่วมกับทูตพาณิชย์ที่ประจำการในทวีปแอฟริกาอยู่ระหว่างการจัดทำเป้าหมายและแผนงานรองรับ ซึ่งคิดว่าน่าจะยังขยายตัวได้ดี ส่วนกลยุทธ์การเจาะตลาดจะยังเน้นการจัดคณะผู้แทนการค้า เพื่อจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคธุรกิจของไทยกับแอฟริกา การเพิ่มจำนวนการจัดงานแสดงสินค้าไทยในแอฟริกา ทั้งนี้ในตลาดแอฟริกาท่านกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ให้นโยบายขยายการค้า และการลงทุนเพื่อเข้าถึงตลาดโดยตรงไปพร้อมกัน เพราะแอฟริกามีแหล่งวัตถุดิบ และพลังงานเป็นจำนวนมาก รวมถึงการส่งวัตถุดิบกลับมาผลิตที่เมืองไทยแล้วส่งออก"
ที่มา : http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=83631:2011-09-14-03-27-48&catid=87:2009-02-08-11-23-26&Itemid=423
นางนันทัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" จากเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลักของไทยทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป(อียู) และญี่ปุ่น มีแนวโน้มหดตัวจากปัญหาหนี้สาธารณะ และภัยพิบัติ ทางกรมมีแผนจะขยายการส่งออกไปยังตลาดที่กำลังมีศักยภาพเพื่อลดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หนึ่งในจำนวนนั้นคือตลาดแอฟริกาซึ่งมี 53 ประเทศ และมีตลาดผู้บริโภครวมกันกว่า 930 ล้านคนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังขยายตัว
สำหรับการส่งออกไปยังตลาดแอฟริกาในปีนี้มั่นใจว่าจะขยายตัวในอัตรา 10% มูลค่า 7,624 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯตามเป้าหมาย โดยการส่งออกไปตลาดแอฟริกาช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่า 4,404.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 21.51% โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 3,009.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
"เป้าหมายการส่งออกไปยังทวีปแอฟริกาในปีหน้าทางผู้บริหารของกรมร่วมกับทูตพาณิชย์ที่ประจำการในทวีปแอฟริกาอยู่ระหว่างการจัดทำเป้าหมายและแผนงานรองรับ ซึ่งคิดว่าน่าจะยังขยายตัวได้ดี ส่วนกลยุทธ์การเจาะตลาดจะยังเน้นการจัดคณะผู้แทนการค้า เพื่อจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคธุรกิจของไทยกับแอฟริกา การเพิ่มจำนวนการจัดงานแสดงสินค้าไทยในแอฟริกา ทั้งนี้ในตลาดแอฟริกาท่านกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ให้นโยบายขยายการค้า และการลงทุนเพื่อเข้าถึงตลาดโดยตรงไปพร้อมกัน เพราะแอฟริกามีแหล่งวัตถุดิบ และพลังงานเป็นจำนวนมาก รวมถึงการส่งวัตถุดิบกลับมาผลิตที่เมืองไทยแล้วส่งออก"
ที่มา : http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=83631:2011-09-14-03-27-48&catid=87:2009-02-08-11-23-26&Itemid=423
ไทยจะรับมือย่างไร ในภาวะเศรษฐกิจขาลง
ช่วงท้ายปี 2007 ประมาณ 3-4 เดือน ตลาดหุ้นทั่วโลกช็อกจากวิกฤติซับไพรม์ (Sub-Prime)ของสหรัฐฯ กระทั่งรัฐบาล โดยกระทรวงการคลังต้องตัดสินใจประกาศเทกโอเวอร์ สถาบันสินเชื่อ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ที่มีตัวเลขผลขาดทุนมหาศาล จากภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์แตกลง ทั้ง 2 สถาบันได้ถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิทักษ์กิจการโดยรัฐบาลกลางเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างเร่งด่วน เพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
ข่าวร้ายนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจ ทำให้มีการลดกำลังการผลิต และลอยแพคนงาน ทั้งในภาคการเงินและอุตสาหกรรมการผลิต ทั้งส่งผลให้เศรษฐกิจการค้าโลกถดถอย และกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ และการลงทุนของสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ ด้วย สำหรับชาติยุโรปได้รับผลกระทบจากยักษ์ป่วยสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งยังมองไม่เห็นว่าชาติเหล่านั้น ยกเว้นเยอรมนีและยุโรปเหนือบางประเทศ จะออกจากวิกฤติอย่างไร เพื่อตอบโจทย์วิกฤติการเงินโลกที่โหดร้ายนี้ และแสวงหาทางออกจากวิกฤตินี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้จัดเสวนาโต๊ะกลมหัวข้อ "ไทยจะรับมืออย่างไร ในภาวะเศรษฐกิจขาลงของยุโรป-อเมริกา?" เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2554 โดยได้รับเกียรติจากนายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), นายสมพร จิตเป็นธม รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.), นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย, ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด
ที่มา : http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=81275:2011-08-29-01-54-27&catid=94:2009-02-08-11-26-28&Itemid=417
ข่าวร้ายนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจ ทำให้มีการลดกำลังการผลิต และลอยแพคนงาน ทั้งในภาคการเงินและอุตสาหกรรมการผลิต ทั้งส่งผลให้เศรษฐกิจการค้าโลกถดถอย และกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ และการลงทุนของสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ ด้วย สำหรับชาติยุโรปได้รับผลกระทบจากยักษ์ป่วยสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งยังมองไม่เห็นว่าชาติเหล่านั้น ยกเว้นเยอรมนีและยุโรปเหนือบางประเทศ จะออกจากวิกฤติอย่างไร เพื่อตอบโจทย์วิกฤติการเงินโลกที่โหดร้ายนี้ และแสวงหาทางออกจากวิกฤตินี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้จัดเสวนาโต๊ะกลมหัวข้อ "ไทยจะรับมืออย่างไร ในภาวะเศรษฐกิจขาลงของยุโรป-อเมริกา?" เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2554 โดยได้รับเกียรติจากนายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), นายสมพร จิตเป็นธม รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.), นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย, ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด
ที่มา : http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=81275:2011-08-29-01-54-27&catid=94:2009-02-08-11-26-28&Itemid=417
ผู้ค้าทองรายใหญ่แห่อัพเกรดร้านทองตู้แดง เปิดห้องค้าทองแท่งสุดหรูแข่งดึงลูกค้า
ผู้ค้าทองรายใหญ่แห่อัพเกรดร้านทองตู้แดง เปิดห้องค้าทองแท่งสุดหรูแข่งดึงลูกค้า เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์สุดไฮเทค พร้อมจอมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวตลาดทองทั่วโลกแบบเรียลไทม์ "จินฮั้วเฮง"กำ 100 ล้านบาท หาทำเลย่านราชประสงค์ ประตูน้ำผุดห้องค้า ด้าน"ฮั่วเซ่งเฮง" ขยายห้องค้าเพิ่ม หลัง 5 สาขาลูกค้าแน่นเอี้ยด ขณะ"แม่ทองสุก" พัฒนา 4 สาขาในกรุงเทพฯ เป็นห้องค้า ชูคอนเซ็ปต์สะดวก สบาย ปลอดภัย ล่าสุดนักลงทุนแจ้งร้องเรียนถูกหลอกซื้อทองแท่ง 34 ล้านบาท
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัทห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า บริษัทมีแผนเปิดห้องค้าบริการซื้อขายทองคำแท่ง คาดว่าได้เห็นต้นปีหน้า เพื่อรองรับกระแสความนิยมการลงทุนในทองคำ และรองรับกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อขายรายวัน หรือกลุ่มเก็งกำไร ตลอดจนกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่นิยมใช้เครื่องมือสื่อสารในการซื้อขาย ทั้งโทรศัพท์มือถือ การซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือออนไลน์ รวมทั้งรองรับการเปิดให้บริการซื้อขายถึงเที่ยงคืน ผ่านระบบออนไลน์
โดยทำเลห้องค้าที่จะเปิดให้บริการ เบื้องต้นบริษัทมองทำเลย่านราชประสงค์และประตูน้ำ คาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร ใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท สามารถรองรับลูกค้าได้ประมาณ 100 คน "คอนเซ็ปต์ห้องค้าที่จินฮั้วเฮงจะเปิดให้บริการลูกค้านั้น จะเป็นห้องค้าที่ทันสมัยด้วยระบบออนไลน์ อีกทั้งมีข้อมูลบริการเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน "
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัทห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า บริษัทมีแผนเปิดห้องค้าบริการซื้อขายทองคำแท่ง คาดว่าได้เห็นต้นปีหน้า เพื่อรองรับกระแสความนิยมการลงทุนในทองคำ และรองรับกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อขายรายวัน หรือกลุ่มเก็งกำไร ตลอดจนกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่นิยมใช้เครื่องมือสื่อสารในการซื้อขาย ทั้งโทรศัพท์มือถือ การซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือออนไลน์ รวมทั้งรองรับการเปิดให้บริการซื้อขายถึงเที่ยงคืน ผ่านระบบออนไลน์
โดยทำเลห้องค้าที่จะเปิดให้บริการ เบื้องต้นบริษัทมองทำเลย่านราชประสงค์และประตูน้ำ คาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร ใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท สามารถรองรับลูกค้าได้ประมาณ 100 คน "คอนเซ็ปต์ห้องค้าที่จินฮั้วเฮงจะเปิดให้บริการลูกค้านั้น จะเป็นห้องค้าที่ทันสมัยด้วยระบบออนไลน์ อีกทั้งมีข้อมูลบริการเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน "
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)